บมจ.ฑีฆาก่อสร้าง หรือ TEKA เดินหน้าเสนอขาย IPO 75 ล้านหุ้น ระดมทุนสนับสนุนศักยภาพการแข่งขัน และโอกาสรับงานใหม่ ทั้งภาครัฐ-เอกชน รับปี 65 แนวโน้มเศรษฐกิจฟื้น ขณะที่ TEKA งานในมือแน่นปึ้กทะลุ 2,200 ลบ. สนับสนุนแผนการรับรู้รายได้ปีนี้เติบโตฉลุย ซึ่งยังไม่นับรวมโอกาสการเข้าร่วมประมูลงานใหม่ ด้าน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาทางการเงิน เผยคาดว่าเสนอขายหุ้นภายใน Q2/65
นายวีระศักดิ์ วานิชวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) หรือ TEKA ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมปี 2565 นับเป็นปีที่บริษัทฯ พร้อมก้าวสู่การเติบโตครั้งสำคัญ จากแผนการระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เงินระดมทุนจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมศักยภาพในการแข่งขัน และโอกาสขยายพอร์ตรับงานโครงการขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน รับภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมก่อสร้างฟื้นตัว งานใหม่ๆ เริ่มทยอยเปิดประมูลเป็นจำนวนมาก
โดยปัจจุบัน TEKA มีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่กว่า 2,254.04 ล้านบาท ประกอบด้วย งานโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานจำนวน 8 โครงการ และงานบริการหลังการขายอีกจำนวนหนึ่ง โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 มีมูลค่างานที่ยังไม่ได้รับรู้รายได้รวม 1,775.09 ล้านบาท คาดจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้ อีกทั้ง ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ณ วันที่ 23 มีนาคม 2565 บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลโครงการใหม่เพิ่มเติมอีกจำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ The Line Vibe ซึ่งมีกำหนดการส่งมอบโครงการภายในเดือนมิถุนายน 2567 โดยมีมูลค่าโครงการตามสัญญาจำนวน 478.95 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เพิ่มความแข็งแกร่งของการรับรู้รายได้ในปีนี้ให้เติบโตกว่าปีที่ผ่านมาได้
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท ฑีฆาก่อสร้าง จำกัด (มหาชน) (TEKA) เปิดเผยว่า TEKA ได้ยื่นขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 75,000,000 หุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ในครั้งนี้ และคาดว่าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้
โดยวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อรองรับงานก่อสร้างที่อาจเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ทั้งในด้านจำนวนโครงการและมูลค่าโครงการ รวมถึงใช้ในการจัดหา ซ่อมแซม และปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์การก่อสร้างต่างๆ
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 รายได้รวมอยู่ที่ 1,605.04 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนราว 35.1% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่อยู่ในช่วงปลายของสัญญาการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ที่ใกล้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกทั้ง ผลกระทบสถานการณ์โควิด ทำให้งานโครงการบางส่วนเลื่อนกำหนดจากปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นอยู่ที่ 126.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 44.6% เนื่องจากการบริหารจัดการภายในและการรับรู้รายได้ของงานก่อสร้างภาคเอกชนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากงานภาครัฐในปีก่อนหน้า โดยสัดส่วนรายได้ของงานภาคเอกชนและภาครัฐบาลอยู่ที่สัดส่วน 90% และ 10% ตามลำดับ